สร้างทีม....ให้คิดเป็น
การสร้างทีมสำหรับโรงแรมที่พัก ควรทำความเข้าใจกันตั้งแต่การวางแนวคิดหลักของโครงการว่า “เราจะสร้างทีมให้เป็นอย่างไร” ถ้ามีแนวคิดหลักก็ควรยึดแนวทางตามแนวคิดหลักของโครงการ ควรแบ่งเวลามาวางแนวคิดของทีมงานควบคู่ไปกับการพัฒนาแนวคิดทางด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน เพื่อให้มีความหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้แนวคิดเดียวกัน
และอีกประเด็นที่ควรทำความเข้าใจคือ “ทีมงาน”
ไม่จำกัดเฉพาะ “ทีมงานที่ปฏิบัติงาน” เท่านั้น แต่รวมไปถึงเจ้าของกิจการด้วยที่ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกัน
มิฉะนั้นจะเดินไปด้วยกันได้ลำบากเพราะไม่มีความเข้าใจเหตุและผลของการกระทำ
จึงทำให้คิดไม่เป็น ไม่คิดในแนวทางเดียวกัน
สำหรับธุรกิจการให้บริการ
คงต้องกลับไปที่รากฐานของธุรกิจการให้บริการก่อนว่า “เราต้องเต็มใจให้บริการ”
แต่ถ้าเราตั้งความคิดของเราแค่ว่า ธุรกิจโรงแรมที่พัก เป็นอีกประเภทธุรกิจที่จะสามารถทำเงินได้เพียงประเด็นเดียวโดยไม่ให้ความสำคัญกับทีมงาน
อันนี้ต้องหยุดกลับมาทบทวนกันใหม่
เมื่อเราตัดสินใจทำธุรกิจให้บริการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ตั้งใจจะบริหารจัดการเอง
เราควรสอบทานความคิดเราตั้งแต่ก่อนจะเริ่มตัดสินใจลงทุนว่าจริงๆแล้วเรา “ชอบที่ให้บริการ”
หรือไม่ อย่างไร ถ้าความคิด แนวคิดของเจ้าของกิจการ
แค่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง ทำอะไรก็ได้ให้คืนทุนเร็วๆ บริการคนอื่น? ขอคิดดูก่อนนะ แบบนี้คงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการคิดให้รอบคอบ
เพราะเทียบได้กับการลงมือทำธุรกิจโดยที่ไม่มี “ความชื่นชอบ ความรัก” หรือ Passionate ให้กับสิ่งที่ตนเองทำ เมื่อขาดประเด็นนี้ไป เมื่อทางข้างหน้า
พบกับอุปสรรค ความยากลำบาก หรือแม้แต่ความล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
ก็จะเกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย และถ่ายทอดพลังงานที่ไม่ดีไปสู่ทีมงาน
ดังนั้นการทำธุรกิจการให้บริการ
และการสร้างทีมบริการนั้น
จึงต้องมีหลักนำทางที่มั่นคงและเข้มแข็งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ตั้งแต่แนวคิดหลักของโครงการ
แนวคิดในการทำงาน และแนวทางในการนำไปปฏิบัติให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม
ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลาอย่างเต็มที่ เข้มข้น สม่ำเสมอ ในการปลูกฝัง
และสร้างทีมงานให้เข้าใจ เข้าถึง
และรู้อย่างลึกซึ้งในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง การสร้างทีมงานเป็นเรื่องต้องใช้เวลา แต่การสร้างทีมงาน “ให้คิดเป็น”
ต้องใช้เวลามากขึ้น เข้มข้นขึ้นในอีกระดับหนึ่ง
แล้วจะสร้างทีมงานให้คิดเป็นอย่างไร?
โดยทั่วไป
ไม่ว่าเราจะทำงานในบริษัทหรือกิจการอะไร
มักจะมีขอบเขตหน้าที่ในการปฎิบัติงานของแต่ละตำแหน่งสรุปและทำความเข้าใจกับพนักงานแต่ละทีม
แต่ละคน หรือที่มักจะเรียกว่า Job
Description แต่การที่มี Job Description ไม่ได้แปลว่า พนักงานทุกคนจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ
สิ่งต่างๆที่มีผลต่อการสร้างทีมงานให้คิดเป็น
เช่น
-
ขั้นตอนการรับสมัครพนักงาน
การคัดกรองทีมงาน
-
การร่วมกันทำงาน ฝึกอบรมระหว่างการทำงาน
-
การสร้างตัวชี้วัดประเมินผลร่วมกัน
-
การสอดแทรกแนวคิดในการทำงาน
ในการแก้ไขปัญหาระหว่างการทำงาน
-
การยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน
ถึงเหตุและผล ที่มาที่ไป และผลกระทบ
เจ้าของกิจการและหัวหน้าทีมมีบทบาทสำคัญที่จะเป็น
“ตัวอย่าง” ที่ดีให้กับทีมงานเสมอ
เจ้าของกิจการบางคนเห็นว่า “ไม่ใช่เรื่องของชั้น”
เพราะจ่ายเงินจ้างคนมาทำงานแล้ว ยังจะต้องมานั่งช่วยแก้ไขปัญหาอีกด้วยหรือ? ก็ไม่ได้ผิดที่จะคิดแบบนั้น
แต่ถ้าตั้งสติให้ดี นี่คือธุรกิจของเรา ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ตกเป็นของเรา
อนาคตของธุรกิจก็คือเรา เราต่างหากที่จะต้องอยู่กับธุรกิจตลอดไป
ไม่ใช่ลูกจ้างที่เราจ้างมา
ดังนั้นจึงควรร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหา และใช้ “ตัวชี้วัด” เป็นเครื่องมือช่วยในการวัดประสิทธิภาพในการทำงานของทีม
เพื่อกระตุ้นการทำงานภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด
ตัวอย่างที่จะนำเสนอ
มักเป็นตัวอย่างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆนี่แหละจะเป็นตัวที่จะค่อยๆซึมซับให้พนักงานได้รู้จักคิดก่อนลงมือทำงานทั้งสิ้น
ตัวอย่างแรก – โรงแรมที่พักขนาดเล็ก ทีมแม่บ้าน
มีหน้าที่ทำความสะอาดทั้งห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นทางเดินระหว่างห้องพัก
ห้องน้ำส่วนกลาง บางโรงมีพื้นที่กว้างขวาง บางโรงมีพื้นที่เล็ก
มีบันไดขึ้นลงที่ทีมแม่บ้านอาจจะไม่สะดวกในการทำงาน พนักงานแบกถังน้ำสำหรับซักผ้าถูพื้น
ถูไปมาโดยไม่มีการจัดลำดับพื้นที่ในการทำความสะอาด ทำให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อน
และจะต้องแบกถังน้ำขึ้นลงบันได
สิ่งที่ควรจะทำ คือการช่วยวางแผนการถูพื้นให้เป็นระบบ
อธิบายให้เห็นว่าถ้าเราทำความสะอาดโดยการไล่พื้นที่แบบนี้ การแบ่งชั้นบนชั้นล่าง
การเทน้ำ ทำความสะอาดไม้ถูพื้นเมื่อเสร็จจากชั้นบน
แล้วค่อยยกถังน้ำเปล่าลงมาชั้นล่างเพื่อเติมน้ำสะอาดใหม่ แล้วจึงค่อยเริ่มถูพื้น สิ่งที่จะได้รับ คือการได้พื้นที่สะอาดมากขึ้น
เพราะมีการเปลี่ยนน้ำซักผ้าบ่อยขึ้น และไม่มีน้ำหยดจากถังน้ำลงบนพื้นที่ได้มีการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ระยะเวลาในการทำงานอาจสั้นลง
ตัวอย่างที่สอง – การทำการตลาดออนไลน์
ทีมงานสงสัยว่าทำไมแฟนเพจของเราไม่ค่อยมีคนมากดไลค์เลย
ทำไมเราไม่จ้างคนมาทำให้จำนวนไลค์เรามากขึ้น เห็นคนโน้นคนนี้เค้าทำ
เค้ามีคนมาไลค์เป็นพันๆเลยนะ
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเป็นลำดับแรกคือ
“เค้า” คือใคร? และ “เค้า” มามีบทบาทอะไร? และ “เค้า”
เคยทำธุรกิจโรงแรมที่พักขนาดเล็กในแบบที่เรากำลังทำอยู่หรือไม่ (จริงๆ
คือการชวนให้ตั้ง “สติ” ก่อนนั่นเอง)
หลังจากนั้นก็ต้องค่อยๆอธิบายให้เหตุผลในด้านต่างๆทั้งทางหลักวิชาการบ้าง
ทางจิตวิทยาบ้างสลับกันไป โดยเน้นให้เกิดสติ และคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น
-
จะเอาไลค์ไปทำอะไร?
-
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราคือใคร? ถ้าไปซื้อไลค์มาโดยที่ไม่สนใจว่าเป็นกลุ่มลูกค้าแบบไหน
สนใจแต่จะให้ได้จำนวนไลค์ จำนวนเงินที่เราลงทุนไปจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไร แต่ถ้าต้องการแค่จำนวนไลค์
เอาไว้ไปคุยโอ้อวดในหมู่เพื่อนฝูง อันนี้สามารถบอกกันก่อนล่วงหน้าได้
จัดให้ได้ไม่มีปัญหา
-
ตำแหน่งทางการตลาดของเราคือตลาดระดับไหน? และพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่มตลาดนี้เป็นอย่างไร?
-
ราคาสินค้าโดยเปรียบเทียบแล้วเป็นอย่างไร
? มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้ามากน้อยแค่ไหน? อ่อนไหวมากหรือน้อยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า?
ประเด็นต่างๆเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีและตรงกันรวมทั้งเรียก
“สติ” กลับมาเสริมในส่วนการคิดไตร่ตรองให้รอบคอบมากขึ้น
ยิ่งในยุคสมัยปัจจุบันที่ทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายสินค้าและบริการประเภทไหน ราคาเท่าไหร่
แต่การจะเปรียบเทียบผลที่ได้รับจากธุรกิจที่แตกต่างกันนั้น
คงจะไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ และหากไม่คิดให้รอบคอบ
นำสินค้าโรงแรมที่พักไปเปรียบเทียบกับการค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น เสื้อผ้า
กระทะ ของเล่นต่างๆ ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์
ควรจะนำเวลามาทำความเข้าใจว่า ธุรกิจของเรามีแผนการปฏิบัติงาน (Action Plan) ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และเราได้ลงมือทำอะไรตามแผนงานไปบ้าง
ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร
ยังขาดตกบกพร่องตรงไหน ต้องเสริมเพิ่ม หรือปรับปรุงตรงไหนบ้าง
แบบนี้จะเป็นผลดีกับธุรกิจเรามากกว่า
โดยสรุป การสร้างทีม (ที่คิดเป็น)
ต้องเริ่มจากเจ้าของกิจการที่ “คิดเป็น” ก่อน
แล้วค่อยๆเป็นตัวอย่างให้กับทีมงานในด้านต่างๆ ตั้งแต่แนวคิด วิธีคิด วิธีการทำงาน
และที่สำคัญคือการ “สร้างสติ” บนหลักเหตุและผลให้กับทีมงาน
และปลูกฝังค่านิยมในการเห็นคุณค่าของเวลาที่ผ่านไปทุกวันว่ามีต้นทุนอย่างไร
และถ้าเราทำช้าไปเพียงหนึ่งวัน ผลเสียที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น