การจัดวางกิจกรรมทางการขายและการตลาดให้เหมาะสมกับประเภทของโรงแรม และวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้นั้น ควรจะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายในภาพรวมก่อนว่าในแต่ละไตรมาสนั้น โรงแรมต้องการจะบรรลุเป้าหมายในเรื่องอะไร หรือมีประเด็นในเรื่องไหนที่โรงแรมยังอ่อนด้อย ยังไม่ได้ให้น้ำหนัก หรือยังไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องด้วย
เราอาจจะแบ่งกิจกรรมเป็นภาพใหญ่ ๆ ออกเป็น 4 ส่วนก็ได้ หรือใครจะแบ่งแยกย่อยมากกว่านี้ ก็แล้วแต่สะดวก วัตถุประสงค์คือเราต้องการเห็นภาพการขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าว่าเราได้วางกิจกรรมไว้สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต้องการจะเดินไปหรือไม่ อย่างไร
1) ว่าด้วยแบรนด์ ได้แก่การแสดงออกเพื่อให้ลูกค้ารับรู้ เรียนรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าและบริการของเราในรูปแบบต่าง ๆ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเราผ่านทางสื่อหลากหลายรูปแบบ
2) ว่าด้วยการตลาด ได้แก่การแสวงหาช่องทางการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
3) ว่าด้วยการขาย ได้แก่ การทำให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการของเราเมื่อเราเจาะเข้าถึงกลุ่มตลาดเป้าหมายแล้ว
4) ว่าด้วยทีมงาน ได้แก่ การเตรียมทีมปฏิบัติการในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมทั้ง 3 ข้อข้างต้นได้อย่างราบรื่น และส่งต่อความประทับในบริการให้กับลูกค้าได้
บางครั้งเราอาจแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เราได้ทำไปในแต่ละเดือนจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ข้อไหน อันนี้ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรไปจนเกินเหตุ ให้เริ่มจากลองมานั่งไล่เรียงกิจกรรมที่ได้ดำเนินการผ่านมาว่าเราได้ทำอะไรไปบ้าง นับกันเป็นกิจกรรมกันไปเลย เช่น ในเดือนที่ผ่านมา เราโพสเฟสบุ๊ก 6 ครั้ง โพสอินสตาแกรม 8 ครั้ง เชิญบล๊อกเกอร์มาเข้าพัก 1 ครั้ง ลงบทสัมภาษณ์ในแม๊กกาซีนออนไลน์ 2 ครั้ง และอื่น ๆ ให้รวบรวมมาเลยว่าเราทำอะไรไปบ้าง
แต่ละโรงแรมก็มักจะให้น้ำหนักในการทำกิจกรรมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ แต่โรงแรมที่พักขนาดเล็ก มักไม่ค่อยได้มองถึงเป้าหมายมากนัก จะเน้นแต่ "การทำให้เกิดกิจกรรมขึ้น" ไว้ก่อน และหวังผลที่เกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามมาจากทุก ๆ กิจกรรมที่ใส่ลงไป
แต่เมื่อมาพิจารณาสิ่งที่ทำลงไป ก็อาจจะเห็นภาพว่า ไม่ค่อยจะเข้ากับทิศทางของธุรกิจที่ควรจะเป็น หรือเมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่า เนื้อหาที่ใช้สื่อสารนั้น เน้นหนักไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนมากเกินไป หรือละเลยจุดเด่นอื่นๆ ของโรงแรมคุณไปเพราะมัวแต่ไปให้ความสำคัญกับการได้ลงหนังสือ ลงโฆษณา ได้มีรูปของโรงแรมปรากฎลงบนสื่อ จนลืมเรื่อง "เนื้อหาสาระ" ที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าไป
ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ต้องการความรวดเร็ว ต้องการตอบสนองความต้องการในรูปแบบเฉพาะตัวมากขึ้น และต้องการการยอมรับในไลฟ์สไตล์ของตน ดังนั้น เนื้อหาสาระในการสื่อสารที่ควรจะบริหารจัดการให้สื่อออกไปให้กว้างขวางในสื่อทุกประเภท ได้แก่
1) ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง และแหล่งท่องเที่ยว (Destination Information)
2) ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ (Product Information)
3) ข้อมูลที่สะท้อนไลฟสไตล์ของธุรกิจ (Lifestyle Information) เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าโรงแรมเรามีไลฟสไตล์ที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่
โดยสรุปแล้ว คงไม่ใช่แค่เรื่องความถี่ในการทำกิจกรรมทางการขายและการตลาด หากแต่เนื้อหาสาระที่สื่อออกไปถึงลูกค้าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการรับรู้ เรียนรู้ และการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อสินค้า จนเกิดความสนใจและเกิดการซื้อ คือการจองห้องพักในที่สุด
ได้เวลากลับไปทบทวนกิจกรรมต่างๆของโรงแรมคุณกันแล้ว
เราอาจจะแบ่งกิจกรรมเป็นภาพใหญ่ ๆ ออกเป็น 4 ส่วนก็ได้ หรือใครจะแบ่งแยกย่อยมากกว่านี้ ก็แล้วแต่สะดวก วัตถุประสงค์คือเราต้องการเห็นภาพการขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าว่าเราได้วางกิจกรรมไว้สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต้องการจะเดินไปหรือไม่ อย่างไร
1) ว่าด้วยแบรนด์ ได้แก่การแสดงออกเพื่อให้ลูกค้ารับรู้ เรียนรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าและบริการของเราในรูปแบบต่าง ๆ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเราผ่านทางสื่อหลากหลายรูปแบบ
2) ว่าด้วยการตลาด ได้แก่การแสวงหาช่องทางการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
3) ว่าด้วยการขาย ได้แก่ การทำให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการของเราเมื่อเราเจาะเข้าถึงกลุ่มตลาดเป้าหมายแล้ว
4) ว่าด้วยทีมงาน ได้แก่ การเตรียมทีมปฏิบัติการในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมทั้ง 3 ข้อข้างต้นได้อย่างราบรื่น และส่งต่อความประทับในบริการให้กับลูกค้าได้
บางครั้งเราอาจแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เราได้ทำไปในแต่ละเดือนจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ข้อไหน อันนี้ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรไปจนเกินเหตุ ให้เริ่มจากลองมานั่งไล่เรียงกิจกรรมที่ได้ดำเนินการผ่านมาว่าเราได้ทำอะไรไปบ้าง นับกันเป็นกิจกรรมกันไปเลย เช่น ในเดือนที่ผ่านมา เราโพสเฟสบุ๊ก 6 ครั้ง โพสอินสตาแกรม 8 ครั้ง เชิญบล๊อกเกอร์มาเข้าพัก 1 ครั้ง ลงบทสัมภาษณ์ในแม๊กกาซีนออนไลน์ 2 ครั้ง และอื่น ๆ ให้รวบรวมมาเลยว่าเราทำอะไรไปบ้าง
แต่ละโรงแรมก็มักจะให้น้ำหนักในการทำกิจกรรมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ แต่โรงแรมที่พักขนาดเล็ก มักไม่ค่อยได้มองถึงเป้าหมายมากนัก จะเน้นแต่ "การทำให้เกิดกิจกรรมขึ้น" ไว้ก่อน และหวังผลที่เกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามมาจากทุก ๆ กิจกรรมที่ใส่ลงไป
แต่เมื่อมาพิจารณาสิ่งที่ทำลงไป ก็อาจจะเห็นภาพว่า ไม่ค่อยจะเข้ากับทิศทางของธุรกิจที่ควรจะเป็น หรือเมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่า เนื้อหาที่ใช้สื่อสารนั้น เน้นหนักไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนมากเกินไป หรือละเลยจุดเด่นอื่นๆ ของโรงแรมคุณไปเพราะมัวแต่ไปให้ความสำคัญกับการได้ลงหนังสือ ลงโฆษณา ได้มีรูปของโรงแรมปรากฎลงบนสื่อ จนลืมเรื่อง "เนื้อหาสาระ" ที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าไป
ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ต้องการความรวดเร็ว ต้องการตอบสนองความต้องการในรูปแบบเฉพาะตัวมากขึ้น และต้องการการยอมรับในไลฟ์สไตล์ของตน ดังนั้น เนื้อหาสาระในการสื่อสารที่ควรจะบริหารจัดการให้สื่อออกไปให้กว้างขวางในสื่อทุกประเภท ได้แก่
1) ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง และแหล่งท่องเที่ยว (Destination Information)
2) ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ (Product Information)
3) ข้อมูลที่สะท้อนไลฟสไตล์ของธุรกิจ (Lifestyle Information) เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าโรงแรมเรามีไลฟสไตล์ที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่
โดยสรุปแล้ว คงไม่ใช่แค่เรื่องความถี่ในการทำกิจกรรมทางการขายและการตลาด หากแต่เนื้อหาสาระที่สื่อออกไปถึงลูกค้าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการรับรู้ เรียนรู้ และการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อสินค้า จนเกิดความสนใจและเกิดการซื้อ คือการจองห้องพักในที่สุด
ได้เวลากลับไปทบทวนกิจกรรมต่างๆของโรงแรมคุณกันแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น